ในยุคที่หลายคนมองหาทางออกเรื่องเงินด่วน คำว่า “ขายฝาก” กลายเป็นสิ่งที่ได้ยินบ่อยมาก บางครั้งอาจเจอโฆษณาชวนเชื่อว่า “ขายฝากแต่ไม่ต้องโอน” หรือ “ขายฝากแบบไม่โอนชื่อ” ซึ่งฟังดูเหมือนจะปลอดภัยสำหรับเจ้าของที่ดินหรือบ้าน เพราะเชื่อว่ากรรมสิทธิ์ยังคงอยู่กับตัวเอง แต่ในความจริงแล้ว การขายฝากที่แท้จริงตามกฎหมาย ต้องมีการโอนกรรมสิทธิ์และจดทะเบียนที่ดินเสมอ หากไม่ทำตามขั้นตอนนี้ อาจทำให้สัญญาไม่มีผลตามกฎหมาย และกลายเป็นการเสียสิทธิ์โดยไม่รู้ตัว
1. ขายฝากคืออะไร? และทำไมต้องโอนกรรมสิทธิ์
ขายฝาก คือสัญญาซื้อขายรูปแบบหนึ่งที่กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 491 กำหนดไว้ โดยมีเงื่อนไขว่า “ผู้ขายฝากมีสิทธิไถ่ถอนทรัพย์สินคืนภายในเวลาที่กำหนด” เช่น 1 ปี 3 ปี หรือสูงสุดไม่เกิน 10 ปี (ในกรณีอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน บ้าน คอนโด)
ความสำคัญคือ เมื่อมีการทำสัญญาขายฝาก กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะถูกโอนให้ผู้ซื้อฝากทันที ไม่ใช่ยังคงอยู่กับผู้ขายเหมือนการจำนอง แต่ผู้ขายยังมีสิทธิที่จะไถ่ถอนคืนได้หากชำระเงินตามที่ตกลงไว้ภายในกำหนดเวลา
ตัวอย่างเข้าใจง่าย:
สมมติคุณนำที่ดินไปขายฝากกับผู้ซื้อฝากเป็นเงิน 1 ล้านบาท กรรมสิทธิ์ในที่ดินจะถูกโอนชื่อไปที่ผู้ซื้อฝากทันที แต่คุณยังมีสิทธิไถ่ถอนคืนภายในเวลาที่กำหนด เช่น 3 ปี หากคุณคืนเงิน 1 ล้านบาทพร้อมเงื่อนไขอื่นๆ ที่ตกลงกันไว้
จะเห็นว่า “โอนกรรมสิทธิ์” คือหัวใจสำคัญของสัญญาขายฝาก หากไม่มีการโอน ก็ไม่ถือว่าเป็นขายฝาก
คำว่า “ขายฝากไม่โอน” มักไม่ได้เกิดจากกฎหมายรองรับ แต่เกิดจาก 3 สาเหตุหลัก ได้แก่
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดเงื่อนไขไว้ชัดเจน เช่น
ข้อสรุป: หากไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์และไม่จดทะเบียนที่สำนักงานที่ดิน จะไม่ถือว่าเป็นการขายฝาก แต่เป็นสัญญาอื่นที่ไม่คุ้มครองตามกฎหมาย
4. ความเสี่ยงของ “ขายฝากไม่โอน”
การทำธุรกรรมในลักษณะนี้มีความเสี่ยงสูง ได้แก่
5. ทำไมยังมีคนเลือก “ขายฝากไม่โอน”
ถึงแม้กฎหมายจะไม่รับรอง แต่ก็ยังพบว่ามีการทำสัญญาในลักษณะนี้ เพราะหลายคนมีความกังวล เช่น
แต่ความจริงแล้ว วิธีนี้กลับทำให้เสี่ยงมากกว่าเดิม เพราะหากเกิดข้อพิพาทขึ้น จะไม่สามารถอ้างสิทธิตามกฎหมายได้เลย
6. ทางเลือกที่ปลอดภัยแทนการทำ “ขายฝากไม่โอน”
สำหรับเจ้าของทรัพย์สินที่ต้องการเงินด่วน แต่กังวลเรื่องการขายฝากและไม่อยากเสี่ยงเสียสิทธิ์ ยังมีทางเลือกอื่นที่ปลอดภัยกว่า เช่น
ตารางเปรียบเทียบ “ขายฝากที่ถูกต้อง” vs “ขายฝากไม่โอน”