ขายฝากแล้วไม่ได้ไถ่ถอน จะเกิดอะไรขึ้น?
เวลาที่เราต้องการเงินด่วน การ ขายฝาก เป็นทางออกที่หลายคนเลือกใช้ เพราะได้เงินเร็ว ไม่ยุ่งยากเหมือนการขอสินเชื่อธนาคาร แต่สิ่งที่ต้องระวังคือมันมีความเสี่ยงสูงมาก โดยเฉพาะถ้าเราไม่สามารถ ไถ่ถอน ทรัพย์สินคืนได้ทันเวลา บทความนี้จะมาเจาะลึกทุกประเด็นให้เข้าใจแบบหมดเปลือก เพื่อให้คุณเห็นภาพชัดเจนและเตรียมตัวรับมือได้อย่างเหมาะสม
1. ขายฝาก กับ การไถ่ถอน คืออะไร? (แบบเข้าใจง่ายแต่ลึกซึ้ง)
ลองนึกภาพง่ายๆ ว่ามันคือการเอาทรัพย์สินของเราไป "ขาย" ให้คนอื่นชั่วคราว เพื่อแลกกับเงินก้อนหนึ่ง แต่มีข้อตกลงว่าเราจะขอซื้อคืนได้ในภายหลังภายในระยะเวลาที่กำหนด สิ่งที่ต้องรู้คือ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะถูกโอนไปเป็นของคนที่เราขายฝากให้ทันที ที่ทำสัญญา ซึ่งต่างจากการจำนองที่กรรมสิทธิ์ยังคงเป็นของเราอยู่ นี่แหละคือจุดที่อันตรายที่สุด เพราะหากเราผิดสัญญา กรรมสิทธิ์นั้นก็จะเป็นของเขาไปเลย
โดยทั่วไปแล้ว สัญญาขายฝากจะมีระยะเวลาไม่เกิน 10 ปีสำหรับอสังหาริมทรัพย์ และไม่เกิน 3 ปีสำหรับสังหาริมทรัพย์ แต่ในทางปฏิบัติมักจะตกลงกันที่ 6 เดือนถึง 1 ปี แล้วค่อยขยายเวลาไปเรื่อยๆ หากจำเป็น
คือการที่เราเอาเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย (ซึ่งในทางกฎหมายเรียกว่า "สินไถ่") ไปจ่ายคืนให้กับคนที่เราขายฝากให้ เพื่อขอ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ของเรากลับคืนมา เมื่อจ่ายครบแล้ว ทรัพย์สินนั้นก็จะกลับมาเป็นของเราโดยสมบูรณ์ แต่หากเกินระยะเวลาในสัญญาแล้ว เราจะไม่มีสิทธิไถ่ถอนได้อีกต่อไป
2. ถ้าครบกำหนดแล้วไม่มีเงินไปไถ่ถอน จะเกิดอะไรขึ้น?
นี่คือประเด็นสำคัญที่สุดที่เราต้องรู้และตระหนักให้ดี ถ้าถึงวันครบกำหนดในสัญญาแล้วเราไม่มีเงินไป ไถ่ถอน ทรัพย์สินคืน สัญญาจะถือว่าสิ้นสุดลงทันที และ ทรัพย์สินนั้นจะตกเป็นของคนที่เราขายฝากให้โดยสมบูรณ์ตามกฎหมาย
- การสูญเสียกรรมสิทธิ์โดยเด็ดขาด: เราจะไม่มีสิทธิเรียกร้องทรัพย์สินคืนได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เพราะในทางกฎหมายถือว่าเรายอมรับข้อตกลงนี้ตั้งแต่ต้นแล้ว
- ผู้ซื้อฝากกลายเป็นเจ้าของเต็มตัว: คนที่เราขายฝากให้จะมีสิทธิเต็มที่ในการนำทรัพย์สินนั้นไปทำอะไรก็ได้ เช่น ถ้าเป็นที่ดิน เขาก็สามารถนำโฉนดไปขายต่อได้ทันทีโดยไม่ต้องบอกเรา หรือถ้าเป็นบ้าน เขาก็มีสิทธิมาบอกให้เราย้ายออกไป และถ้าเราไม่ยอมออก เขาก็มีสิทธิฟ้องขับไล่เราได้ด้วย
- ไม่มีสิทธิได้รับเงินส่วนต่าง: สมมติว่าเราขายฝากที่ดินมูลค่า 3 ล้านบาท แต่ได้เงินมาแค่ 1 ล้านบาท เมื่อเราไถ่ถอนไม่ได้ เราก็จะสูญเสียที่ดินมูลค่า 3 ล้านบาทไปเลย และจะไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินส่วนต่าง 2 ล้านบาทคืนได้แต่อย่างใด
3. ทรัพย์สินแบบไหนที่คนนิยมเอามาขายฝากและต้องระวังอะไรเป็นพิเศษ?
ส่วนใหญ่จะเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงและมีการจดทะเบียนชัดเจน เพื่อให้การทำสัญญาถูกต้องตามกฎหมาย:
- อสังหาริมทรัพย์ (ที่ดิน บ้าน คอนโดฯ):
นิยมที่สุด เพราะมีมูลค่าสูงและเป็นที่ต้องการในตลาด ข้อควรระวัง: สัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อหน้าเจ้าหน้าที่กรมที่ดินเท่านั้น ถ้าทำกันเองสัญญาจะเป็นโมฆะ ผู้ขายฝากควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ไปทำเรื่องที่กรมที่ดินถูกต้อง
นิยมในกรณีที่ต้องการเงินด่วนแต่ไม่มีอสังหาริมทรัพย์ ข้อควรระวัง: การขายฝากรถยนต์มักจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในสมุดทะเบียนรถ หากไถ่ถอนไม่ได้ ผู้ซื้อฝากก็สามารถนำรถไปขายต่อหรือโอนทะเบียนเป็นชื่อตัวเองได้ทันที
4. ข้อดี-ข้อเสียของการขายฝาก สรุปให้ฟังชัดๆ
ก่อนตัดสินใจ ลองชั่งน้ำหนักดูก่อน:
ข้อดี
- ได้เงินเร็วปานสายฟ้า: กระบวนการไม่ซับซ้อน ไม่ต้องผ่านการอนุมัติที่ยุ่งยากเหมือนการกู้ธนาคาร
- ไม่ต้องมีเครดิต: ผู้ซื้อฝากพิจารณาจากมูลค่าทรัพย์สินเป็นหลัก ไม่ได้ตรวจสอบประวัติทางการเงินหรือเครดิตบูโรของเรา
- เงื่อนไขยืดหยุ่น: ผู้ซื้อฝากและผู้ขายฝากสามารถตกลงเรื่องระยะเวลาหรืออัตราดอกเบี้ยกันเองได้ (แต่ดอกเบี้ยต้องไม่เกินที่กฎหมายกำหนด)
ข้อเสีย
- ความเสี่ยงสูงถึงขั้นสุด: นี่คือความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดของสัญญาขายฝาก หากไถ่ถอนไม่ได้ภายในกำหนดเวลา คือจบเลยนะคะ ทรัพย์สินที่เรารักจะหายไปทันที
- ดอกเบี้ยสูงมาก: แม้กฎหมายจะกำหนดเพดานดอกเบี้ยไว้ แต่โดยทั่วไปแล้วอัตราดอกเบี้ยในสัญญาขายฝากมักจะสูงกว่าสินเชื่อจากธนาคาร ทำให้ภาระหนี้เราเยอะกว่าปกติ
- ไม่มีทางแก้ตัวง่ายๆ: หากจะขอขยายเวลาไถ่ถอน ก็ต้องไปเจรจาขอความเห็นใจจากผู้ซื้อฝาก ซึ่งเขาอาจจะไม่ยอมก็ได้
5. ทำยังไงถึงจะปลอดภัย ไม่เสียทรัพย์สินไป?
ก่อนทำสัญญา ขายฝาก ควรเตรียมตัวให้ดี:
- อ่านสัญญาให้ละเอียดทุกตัวอักษร: โดยเฉพาะเรื่องระยะเวลา ไถ่ถอน และอัตราดอกเบี้ยที่ระบุไว้ในสัญญา ถ้าไม่เข้าใจตรงไหน ให้ถามให้เคลียร์ หรือหาผู้รู้มาช่วยดูให้
- ประเมินความสามารถของตัวเองอย่างจริงจัง: ลองคิดดูให้รอบคอบว่าเราจะหาเงินมาไถ่ถอนคืนได้จริงๆ ไหม อย่าคาดหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะมีเงินเข้ามาทันเวลา ควรมีแผนสำรองไว้เสมอ
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: หากไม่แน่ใจจริงๆ ลองปรึกษาทนายความดูก่อน จะช่วยให้เรามั่นใจว่าสัญญาเป็นธรรมและถูกต้องตามกฎหมาย
6. ใกล้หมดสัญญาแล้วแต่ไม่มีเงิน ต้องทำยังไง?
ถ้าใกล้ถึงกำหนดไถ่ถอนแล้วยังไม่มีเงิน มีทางออกให้ลองทำดู:
- รีบเจรจากับเจ้าหนี้: นี่คือทางออกที่ดีที่สุด ลองคุยกับผู้ซื้อฝากเพื่อขอขยายระยะเวลาไถ่ถอนดู หากเขาใจดีก็อาจจะยอม แต่ต้องทำสัญญาขยายเวลาใหม่เป็นลายลักษณ์อักษรและไปจดทะเบียนที่กรมที่ดินด้วย เพื่อให้มีผลทางกฎหมาย
- หาเงินจากทางอื่นเพื่อไถ่ถอน: อาจจะลองขอสินเชื่อจากธนาคารหรือยืมจากญาติเพื่อนำเงินมาไถ่ถอนให้ทันก่อนที่จะหมดเวลา
- ปรึกษาทนายความ: หากไม่สามารถหาเงินมาไถ่ถอนได้จริงๆ อาจต้องปรึกษาทนายความเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด เช่น การเจรจาขายทรัพย์สินนั้นให้คนอื่นแล้วนำเงินมาชำระหนี้กับผู้ซื้อฝาก
การ ขายฝาก เป็นเรื่องที่มีความเสี่ยงสูงมาก ถ้าเราไม่สามารถไถ่ถอนได้ ทรัพย์สินจะหลุดมือไปทันที การทำความเข้าใจและเตรียมตัวให้พร้อมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด